รีวิวหนังน่าดู ก็อตซิลล่า 2 ราชันแห่งมอนสเตอร์
รีวิวหนังน่าดู ท่าทางจะประตูบานใหญ่ที่ตั้งใจเปิดออกสู่ “Monsterverse” ดูจะมีวี่แววไม่ดีเสียแล้ว กับโปรเจกต์สำคัญของค่ายลีเจนดารี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่คาดหวังจะมีจักรวาลเป็นของตัวเอง ด้วยการซื้อสัญญาร่วมกับโตโฮ ค่ายหนังใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของตัวประหลาดยักษ์
มากมายในจักรวาลก็อดซิลล่าของเขา ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุค 60s หลังจากปูทางมาตั้งแต่ Godzilla (2014) ต่อเนื่องมาถึง Kong : Skull Island (2017) แล้วก็ถือโอกาสเปิดตัวเต็ม ๆ ว่านี่คือการเปิดจักรวาลสัตว์ประหลาดยักษ์ ด้วยการดึงเหล่าตัวประหลาดยักษ์
ของโตโฮมาโชว์โฉมกันเพียบทั้งก็อดซิลล่า , คิงกิโดราห์ , ม็อธร่า และ โรดัน แถมยังมีอีกหลายตัวที่มาเดินโชว์โฉมแต่ไม่ได้มีการแนะนำชื่อเสียงเรียงนามให้ได้รู้จัก หนังสานต่อเรื่องราวจาก Godzilla (2014) ตามช่วงเวลาจริง หนังเว้นห่างกัน 5 ปี เหตุการณ์ในหนังก็ห่างกัน 5 ปี
หลังจากการปรากฏตัวของ ก็อดซิลล่า วิทยาการขององค์กรโมนาร์ชก็พัฒนาขึ้น สามารถค้นเจออสูรยักษ์ที่หลบซ่อนอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของโลกได้ถึง 17 ตัว และภายในช่วง 5 ปีนี่ ดร.เอ็มม่า ก็สามารถพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถสร้างคลื่นความถี่ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับอสูรยักษ์ได้
เรียกอุปกรณ์นี้ว่า “ออการ์” ในระหว่างที่ใช้ออการ์สื่อสารกับม็อธร่า โจนาห์ อลัน หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายก็มาชิงออการ์และจับตัว ดร.เอ็มมา กับเมดิสัน ลูกสาวไป และใช้ออการ์ในการปลุกอสูรยักษ์ทั่วโลก ทำให้ก็อดซิลล่าต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อกำราบเหล่าอสูรยักษ์ทั่วโลก รีวิวหนังก็อตซิลล่า 2
และหนึ่งในนั้นคือ คิงกิโดร่า มังกร 3 หัว คู่ปรับตลอดกาลของก็อดซิลล่า ที่รอบนี้เล่นเอาพี่ก็อดเกือบแย่อยู่หลายครั้ง หลังจาก Godzilla (2014)ออกฉาย ก็มีเสียงบ่นจากผู้ชมว่าได้เห็นตัวก็อดซิลล่าน้อยเกินไปไม่จุใจเลย ทางค่ายก็รับฟังเสียงจากผู้ชม มาถึง Godzilla: King of the Monsters
ก็เลยจัดให้แบบสะใจกันไปเลย หนังปูเรื่องเพียงแค่ 10 นาที บรรดาอสูรยักษ์ก็ทยอยกันปรากฏตัว พี่ก็อดก็ออกมาพะบู๊กันตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลย ทำให้บรรยากาศของภาคนี้ดูห่างไกลจาก Godzilla (2014)ไปมาก แม้นี่คือหนังภาคต่อเนื่องกัน จากภาคที่แล้วเห็นก็อดซิลล่ากันแบบวับ ๆ แวม ๆ
ภาคนี้ก็เลยมายืนจังก้าให้เห็นกันเต็ม ๆ ไป เน้นขายเหล่าอสูรยักษ์ตีกันแบบจริงจัง แม้ว่าในเทรลเลอร์บอกว่าโมนาร์ชค้นพบอสูรยักษ์ทั่วโลก 17 ตัว แต่ก็มีบทบาทจริง ๆ แค่ 4 ตัวหลักคือ ก็อดซิลล่า , คิงกิโดราห์ , ม็อธร่า และ โรดัน เท่านั้น ที่เหลือก็เดินผ่านกล้องให้เห็นแค่ 2-3 ฉาก >>สมัครสมาชิก<<

เรื่องย่อ Godzilla King of the Monsters
ตัวหนังเล่าเรื่องต่อเนื่องโดยตรงจากหนังภาคแรก (ปี 2014) ของศึกใหญ่ใจกลางกรุงซานฟรานซิสโกระหว่างก็อตซิลล่าและมุโตะ ก่อความเสียหายและความสูญเสียอย่างมหาศาล แถมยังเป็นการเปิดตัวของสัตว์ประหลาดยักษ์แก่สายตาชาวโลกว่าพวกมันมีอยู่จริง
องค์กรโมนาร์คที่ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ก็ต้องออกมายอมรับถึงเหตุผลที่พวกเขาปกปิดเรื่องสัตว์พวกนี้ไว้เป็นความลับ รอการไต่สวนจากสมาชิกวุฒิสภาเกี่ยวกับเหล่าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า “ไททัน” ตัวหนังเองก็เล่าเรื่องของครอบครัวที่ทำงานให้กับองค์กรโมนาร์ค
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ของศึกในหนังภาคแรก ทำให้ดร.มาร์กผู้เป็นพ่อต้องลาออกจากองค์กรและหย่าร้างกับภรรยา ดร.เอ็มม่า ทิ้งให้เธอเลี้ยงดูลูกสาว แมดิสัน อยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเกี่ยวกับงานวิจัยของดร.เอ็มม่าที่มีองค์กรก่อการร้าย
ที่มีความเกี่ยวโยงกับการปลดปล่อยเหล่าไททันที่จำศีลอยู่ทั่วโลก ซึ่งนำพาไปถึงการสูญพันธ์ของมนุษยชาติ หนังเสิร์ฟความสนุกสนานแบบไม่บันยะบันยังตั้งแต่ต้นยันจบ เป็นมาราธอนแอ็คชั่นสัตว์ประหลาดที่ซัดกันแบบจัดเต็ม 2 ชั่วโมง ฉากสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ที่ตระการตาและสวยงาม
เป็นการอัพเกรดตัวละครไททันจากอดีตของหนังก็อตซิลล่า ให้ผงาดอย่างยิ่งใหญ่สมกับงบต้นทุนที่สร้างโดยสตูดิโออเมริกัน พูดได้เต็มปากว่าความบันเทิงที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือฉากต่อสู้ของเหล่าบรรดาไททันทั้งหลายก็ไม่ผิด ถึงแม้หนังจะมีโทนที่จริงจังซีเรียสพอๆ กับภาคแรก

แต่ก็ยังสามารถลงจังหวะหยอดมุขจากบทพูดของตัวละครในเรื่องมาเรียกเสียงหัวเราะให้คนดูได้เรื่อยๆ แถมหนังยังมีเซอร์วิสให้เหล่าบรรดาแฟนๆ ก็อตซิลล่าได้ยิ้มกัน ไม่ว่าจะเป็นการหยอด Easter Egg ที่โยงไปถึงการคารวะหนังเวอร์ชั่นเก่ามากมาย ใครที่เป็นแฟนของหนังก็อตซิลล่าอยู่แล้ว
ถ้าเก็ตสิ่งที่หนังตั้งใจแอบใส่มาจะต้องมีความสุขระหว่างรับชมแน่นอน หรือดนตรีประกอบของเวอร์ชั่นเดิมที่นำมาประพันธ์ในรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งทำออกมาได้ยิ่งใหญ่จนน่าขนลุก ก็อตซิลล่า และเหล่าบรรดาไททันตัวอื่นได้แก่ มังกรทองสามหัว คิง กิโดร่า,ราชินีแห่งสัตว์ประหลาด
มอธร่า และ ปีศาจเพลิง โรแดน ต่างก็ได้มีบทบาทที่เด่นแตกต่างกันไปของตัวเอง ซึ่งพวกมันก็แสดงพลังของแต่ละตัวออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวละครไคจูคลาสสิกจากญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากแฟนๆหนังก็อตซิลล่าทั่วโลก พลังความสามารถของแต่ละตัว
ได้ปล่อยออกมาจัดเต็มในซีเควนส์แต่ละช่วงของพวกมัน แต่ที่จะได้มีบทเด่นที่สุดของหนังเป็นใครไม่ได้นอกจากเจ้าก็อตซิลล่าเอง และศัตรูคู่อริตลอดกาล คิง กิโดร่า ทั้งคู่เป็นดั่งแบทแมนและโจ๊กเกอร์ที่อยู่คู่กันมาตลอดถ้าหากกล่าวถึงตัวละครสัตว์ประหลาดคู่ต่อสู้ Godzilla ภาค ใหม่
ของก็อตซิลล่าตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าจะให้พูดถึงด้านลบของหนัง คงไม่พ้นพล็อตย่อยของตัวละครที่เกินความจำเป็น และค่อนข้างน่าเบื่อ ดราม่าครอบครัวที่หนังเล่ามาขาดความน่าสนใจจนพูดได้ว่าจืดสนิท หรือมันอาจถูกกลบด้วยบรรดาฉากแอ็คชั่นสัตว์ประหลาด
ที่ถาโถมใส่หน้าคนดูแบบไม่ยั้งอยู่แล้ว ตัวละครมนุษย์ส่วนมากในหนังมิติแบนราบ เหมือนมีหน้าที่คือแค่ออกมาอธิบายข้อมูลแบบแข็งทื่อในแต่ละฉากที่ไททันแต่ละตัวปรากฎออกมา ถ้าหากรวมการบาลานซ์ของพาร์ทตัวละครมนุษย์และพาร์ทของเหล่าไททันแล้ว มันทำออกมาได้ค่อนข้างย่ำแย่
ความน่าสนใจในหนัง Godzilla ภาค 2
โทนหนังของภาคนี้น่าจะถูกใจผู้ชมในกลุ่มเด็กผู้ชาย ที่ชอบตัวประหลาดยักษ์เสียมากกว่า เพราะบรรยากาศหนังออกไปแนวอุลตร้าแมนมาก จากภาคก่อน ๆ ที่วางบทบาทของก็อดซิลล่าให้เป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ซุกตัวอยู่ใต้ทะเลลึก เพื่อหนีห่างจากมนุษย์โลก
ตัวก็อดซิลล่ายังมีความลึกลับน่ากลัวให้สัมผัสได้ ในโทนที่ใกล้เคียงกับบรรดาไดโนเสาร์ในแฟรนไชส์ Jurassic Park ทุกครั้งที่แนะนำไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ก็ต้องลุ้นกับภาพลักษณ์และพิษสงของมัน แต่กับบรรดาอสูรยักษ์ใน Godzilla: King of the Monsters กลับไม่มีความลึกลับ
น่ากลัวเหลือให้สัมผัสเลย แต่ละตัวเหมือนสัตว์ประหลาดในหนังอุลตร้าแมนที่ออกมาตบตีกันตุ้บตั้บ แล้วมีท่าไม้ตายด้วยการปล่อยแสง เป็นภาคที่พาเหล่าอสูรยักษ์ยกระดับไปไกลจนไม่คงความเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้เห็นอีกต่อไป ฉากที่บรรดาอสูรยักษ์ตีกันก็พอบันเทิงดี ดูหนังก็อตซิล่า2
ชอบที่สุดคือฉากโรดันต่อสู้กับเครื่องบินรบเป็นฉากที่ยาวและสนุก แม้จะทำใจไว้แล้วว่านี่คือหนังสัตว์ประหลาดที่สร้างโดยฮอลลีวู้ด ต้องปล่อยวางเรื่องตรรกะความเป็นจริงให้มากที่สุด แต่ในรายละเอียดของหนังเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร ความคิดการตัดสินใจของตัวละคร
ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ช่างดูไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดต้องชี้นิ้วไปที่คนเดียวคือ ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ ผู้กำกับที่เหมาหน้าที่เขียนบทเองด้วย กับการเพิ่มตัวละครบุคคลเข้าไปอีกมากในหนังที่มีอสูรยักษ์วิ่งกันเต็มจอไปหมดแบบนี้ ตัวละครมนุษย์หลาย ๆ ตัวก็ดูใส่เข้ามาให้เกินความจำเป็น

แต่ว่าภาคนี้ดึงตัวละครจากภาคที่แล้วมาเกือบครบ แล้วยังเพิ่มตัวละครใหม่ ๆ เข้าไปทั้ง จางซิยี่ , โอเชียร์ แจ็คสัน และ ชาร์ล แดนซ์ ที่แต่ละคนก็เล่นกันด้วยอารมณ์หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกันหมด พอเพิ่มเรื่องราวของฝั่งมนุษย์ก็เลยกลายเป็นความกังวลที่จะต้องแบ่งน้ำหนักเฉลี่ยมาให้
บรรดาตัวละครมนุษย์ โดยเฉพาะฉากดราม่าที่ไม่ได้สร้างอารมณ์ร่วมเลยแม้เพียงนิด ฉากการเสียสละชีวิตของตัวละครหลักก็ใส่เข้ามาตามสูตรสำเร็จในหนัง ตามธรรมเนียมหนังภัยพิบัติ ฉากดราม่าพ่อแม่ลูกก็เช่นกันตามสูตรเป๊ะที่จะต้องเห็นอกเห็นใจกันท่ามกลางภัยพิบัติ
บทเมดิสัน ของมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ ยังคงเอกลักษณ์ของตัวละครเด็กสาวในหนังภัยพิบัติที่เป็นตัวสร้างภาระความวุ่นวายในหนังประเภทนี้ แต่พอดูหนังในช่วงแรกส่วนตัวผมก็คิดว่าน่าเบื่อจนเผลอหลับไปบ้างก็มีครับ แต่พอเข้าไปช่วงกลาง ๆ ของหนังหลังจากปลุกเหล่าไคจูแล้ว รีวิวหนังไทยน่าดู
หนังก็สนุกขึ้นมากครับ การเซ็ตฉากในหนังนี่ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ สมจริงสุด ๆ แต่บางฉากก็ทำผมน้ำตาคลอได้เลยครับ [ ส่วนนี้อยากให้คนอ่านไปดูในหนังเองมากกว่านะครับ ] สิ่งที่ประทับใจสุด ๆ ก็คงจะเป็นฉากการต่อสู้ของเหล่าไคจูนี่แหละที่เป็นตัวชูโรง โดยเฉพาะคู่ก็อตซิลล่ากับกิโดร่าที่สู้กันดุเดือดมาก ๆ จนแทบลืมกระพริบตาเลยครับ
ตัวอย่างหนัง ก็อตซิลล่า 2 ราชันแห่งมอนสเตอร์
ติดตามข่าวสาร หนังออนไลน์ที่ >>* เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี * <<<